การเริ่มต้นใช้ชีวิตในรั้วเขียวมะกอก สิ่งสำคัญคือการรู้หนทางในภายภาคหน้าพวกเราทุกคนล้วนสามารถเรียนรู้ได้ผ่านวิถีชีวิตของผู้ที่อยู่มาก่อน เพื่อที่จะได้รับฟังและนำมาเตรียมตัวเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สำหรับส่วนของบทความนี้จะเป็นการสัมภาษณ์เภสัชกรซึ่งเคยผ่านการฝึกงานและกำลังทำงานอยู่ ในทั้งสาขาบริบาล และอุตสาหการ
รุ่นพี่คนที่ 1 – พี่แน้ก การบริบาลทางเภสัชกรรม รหัส 57
น้อง : สวัสดีครับพี่แน้กขอเริ่มถามคำถามเลยนะครับ ปัจจุบันทำงานอะไรอยู่ครับ?
พี่แน้ก : ครับสวัสดีครับ ตอนนี้เป็นเภสัชกรร้านยาครับ ตำแหน่งเภสัชกรปฏิบัติงาน
น้อง : อะไรเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เลือกสายอาชีพเภสัชกรเหรอครับพี่?
พี่แน้ก : ก็ไม่มีอะไรมากครับ (หัวเราะ) แค่สอบติดแล้วก็คิดว่าเงินดีมีงานทำแค่นั้นเองครับ
น้อง : โห ถ้าอย่างนั้นต้องมีช่วงที่รู้สึกว่าลำบากแน่ๆ พี่เคยรู้สึกลำบากใจที่สุดในการเป็นเภสัชกรตอนไหนเหรอครับ
พี่แน้ก : ครับ ก็คงเป็นตอนที่ต้องคุยกับลูกค้าที่ High educated แต่พูดด้วยไม่รู้เรื่องนี่แหละครับ แต่ยังไงเราก็ต้องให้เขาเข้าใจครับว่าเราเจตนาดีและเป็นห่วงชีวิตเขาส่วนจบสวยหรือไม่สวยนี่ก็อีกเรื่อง (หัวเราะ) เราแค่ทำหน้าที่ของเราครับ
น้อง : การเริ่มต้นของพี่อาจจะดูง่ายๆ แต่ถ้าพี่มาขนาดนี้แล้วก็คงมีความฝันเป้าหมายปลายทางรึเปล่าครับ?
พี่แน้ก : เอ่อ ถ้าตอนนี้ก็คงจะเป็นเปิดร้านยาของตัวเองสัก 5 สาขาละมั้งครับ แล้วบริหารเอา
น้อง : ก็คงออกไปในเชิงธุรกิจสินะครับ ถ้างั้นพี่คิดว่าผลจากระบบทุนนิยมที่หวังผลกำไรจากการลงทุน มีผลกับการประกอบอาชีพในฐานะเภสัชกรมากน้อยแค่ไหนครับ?
พี่แน้ก : ในมุมมองพี่มันมีผลกับทุกอาชีพนั่นแหละแล้วก็กับเภสัชกรทุกสายงานด้วย เพียงแต่ยาเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอยู่แล้ว ก็จะโดนผลในด้านนี้น้อยหน่อย
น้อง : จากเป้าหมายที่พี่วางดูทรงแล้วน่าจะต้องข้องเกี่ยวการบริหารคนเยอะนะครับ ถ้างั้นในมุมมองของพี่ พี่คิดว่าระหว่างเป้าหมายของงาน กับความเห็นใจคน อะไรสำคัญมากน้อยในแง่ไหนบ้างครับ?
พี่แน้ก : อันนี้คงต้องดูเป็น Case by case ไปนะ แต่ถ้าเป็นพี่ก็คงเลือกไม่ให้อะไรมันกระทบเป้าหมายหลักมากเกินไปก่อนแหละ
น้อง : แล้วพี่ว่าพี่ได้ใช้ความรู้ของเภสัชกรในการช่วยอธิบายให้ความรู้คนทั้งลูกค้าหรือคนใกล้ชิดมากรึเปล่าครับ
พี่แน้ก : มากรึเปล่าไม่แน่ใจ แต่ถือว่าบ่อยเลยแหละครับ (หัวเราะ)
น้อง : ครับผม คำถามสุดท้ายแล้วครับพี่ ขอบคุณที่สละเวลามาให้ความรู้ครับสุดท้ายนี้ขอให้พี่ฝากหน้าที่ของเภสัชกรสักสามข้อได้มั้ยครับ
พี่แน้ก : ครับ ก็คงเป็นการดูแลความปลอดภัยด้านการใช้ยาให้เหมาะสมกับโรค ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องยากับชุมชน แล้วก็ป้องกันการดำเนินไปของโรคครับ
รุ่นพี่คนที่ 2 พี่ปัน เภสัชอุตสาหการ รหัส 57
น้อง : สวัสดีครับพี่ปัน ขออนุญาตเริ่มการสัมพาษณ์เลยนะครับ ปัจจุบันพี่ทำงานอะไรเหรอครับ
พี่ปัน : สวัสดีค่า ปัจจุบันทำงานผู้จัดการร้านขายยาเทสโก้ โลตัส ฟาร์มาซี สาขารามอินทรา109 ค่า
น้อง : เป็นเมเนเจอตั้งแต่เรียนจบเลยเหรอครับ (หัวเราะ) แล้วสำหรับพี่อะไรคือสิ่งที่ทำให้เริ่มต้นสายอาชีพเภสัชเหรอครับ?
พี่ปัน : ตอนเด็กม.ปลายเราก็ไม่ได้คิดอะไรมากอ่ะเนอะ แค่อยากเรียนพวกอาชีพสายวิทย์สุขภาพอะไรก็ได้ ได้ช่วยเหลือคนนางเอกนิดหน่อยแต่จริงๆนะ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นอาชีพที่ค่อนข้างมั่นคง พ่อแม่น่าจะภูมิใจ (หัวเราะ) จบมาไม่ตกงาน รายได้ก็โอเคเลี้ยงครอบครัวพ่อแม่ได้
น้อง : แต่ว่าตอนนี้ก็คงเจออะไรมามาแล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องที่ลำบากใจที่สุดในการเป็นเภสัชกรเหรอครับ?
พี่ปัน : สิ่งที่ลำบากใจที่สุดในการเป็นเภสัชกรสำหรับงานเภสัชร้านยาตอนนี้ คือ การเลือกยา การจ่ายยาในแต่ละครั้งแต่ละเคสมันค่อนข้างสำคัญอาจจะถึงชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนั้นกต้องให้ความสำคัญกับทุกเคส แล้วเราก็ต้องมีการสื่อสารกับผู้ป่วยในแต่ละราย ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันบางคนก็ดี๊ดี บางคนก็มนุษย์ป้ามนุษย์ลุงเลย เราก็ต้องมีกสรควบคุมอารมณ์และสติให้ดี
น้อง : ถ้าพี่มีอำนาจมากพอในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง พี่อยากจะทำอะไรเหรอครับ?
พี่ปัน : ถ้ามีอำนาจมากพอ สิ่งที่อยากทำ คือ อยากส่งเสริมให้ประชาชนเห็นถึงบทบาทความสำคัญของเภสัชกรอย่างแท้จริงแล้วก็อยากทำให้เภสัชมีบทบาทที่สำคัญอย่างแท้จริง จริงๆด้วย คือถ้าถามคนส่วนใหญ่บางทีก็คิดว่าแค่จ่ายยาตามหมอสั่ง แต่ไม่ทราบถึงบทบาทว่าแบบกว่าจะเป็นยาตัวหนึ่งๆ เราก็มีส่วนสำคัญเยอะเลย
น้อง : อยากให้เภสัชกรอยู่หน้าม่านในสายตาของคนนอกมากขึ้นสินะครับ แล้วต่อจากนี้พี่วางแผนจะทำยังไงต่อเหรอครับ?
พี่ปัน : ก็คงทำงานนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งงานแรกมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตอ่ะเนอะ ชีวิตเราต้องเดินต่อไปอีกไกลล ถ้าทำแล้วมีความสุขก็คงทำไปยาวๆ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะออกมาเรียนต่อไม่ก็เปลี่ยนสายงาน
น้อง : เห็นพี่ปันบอกว่าพี่ปันทำงานร้านยา แปลว่าระบบทุนนิยมน่าจะส่งผลมากที่สุดในบรรดาเภสัชกรด้วยกัน สำหรับพี่ระบบทุนนิยมที่หวังผลกำไรจากการลงทุนมีผลกระทบกับอาชีพพี่แค่ไหนเหรอครับ?
พี่ปัน : ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจแบบนี้ธุรกิจหลายอย่างก็ยิ่งต้องเน้นการทำกำไรแต่ลดต้นทุนให้บริษัทตัวเอง เราคิดว่ามีผลนะแต่อาจจะเพราะเพิ่งเริ่มเข้ามาทำงานทำให้ยังไม่ค่อยเห็นถึงบทบาทในจุดนี้มาก แต่ที่เห็นได้ง่ายๆสำหรับร้านยาก็คือการจ่ายยาที่พยายามให้ราคาสูงขึ้นให้ราคาต่อบิลเพิ่มมากขึ้นซึ่งไม่เหมือนกันกับพวกร้านยาที่คณะที่จะจ่ายแบบ rational drug use แต่ในชีวิตจริง ก็ต้องพยายามขายให้ราคาสูงๆเพื่อความอยู่รอดของร้าน
น้อง : แปลว่าต้องทำงานค่อนข้างฝืนใจกับทั้งตัวเองกับเพื่อนร่วมงานนะครับ แล้วพี่มองว่าเป้าหมายของงานกับความเห็นใจคนร่วมงาน อะไรสำคัญมากน้อยกว่ายังไงบ้างครับ?
พี่ปัน : เราว่ามันสิ่งที่ต้องจัดการให้สมดุลทั้งความเห็นใจและเป้าหมาย คือเราเองก็เป็นคนที่เห็นใจคนมากๆ เป็นสิ่งที่ควรแก้ไข เพราะไม่งั้นสุดท้ายเราจะเหนื่อย งานไม่เดิน งานหนักที่เรา แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะมุ่งแต่เป้าหมายอย่างเดียวมันไม่ได้ เพราะคนเราจะประสบความสำเร็จได้คือส่วนนึงมันมาจากตัวเราเอง จากความสามารถของเรา แต่อีกส่วนคือเราก็ต้องมีการร่วมงานเป็นทีม ประสานงาน ติดต่อสื่อสาร หรือแม้แต่การทำงานกับลูกค้า/ผู้ป่วย ซึ่งความเห็นใจมันเป็นพื้นฐานหนึ่งที่มนุษย์ควรมีอ่ะ แต่หากเราไม่สนใครเอาตัวเองเป็นหลัก มันก็ไม่มีใครอยากจะช่วยเหลือเราเหมือนกันเวลาเราลำบาก จนสุดท้ายมันก็ไม่บรรลุเป้าหมายอ่ะ มันจะแบบโดดเดี่ยวเดียวดายบนกองงา
น้อง :ในฐานะเภสัชกรแล้วพี่ได้ใช้ความรู้ในการอธิบายลูกค้าหรือคนใกล้ตัวบ่อยมั้ยครับ?
พี่ปัน : ได้ใช้ ได้ใช้เยอะมากยิ่งเฉพาะร้านยา เราว่าได้ใช้มากกว่าโรงพยาบาลอีกก คือบางคนเค้าไม่รู้แบบไม่รู้จริงๆ แล้วพอเราแนะนำให้เค้า หรือเค้ากินยาที่เราให้ไปแล้วหาย คือมันแบบรู้สึกดีอ่ะ แบบอันนี้จากประสบการณ์ที่เจอคือลูกค้าแบบขอกอดเรา ซื้อขนมมาให้เรา หรือแค่แบบถามเราว่าน้องมาทำวันไหน เวลาไหนให้คำแนะนำดีมากพี่จะได้มาหาอีก อะไรอย่างงี้อ่ะคือรู้สึกดีมากก (หัวเราะ)
น้อง : เป็นคำตอบที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ เภสัชได้หลายๆ คนเลยนะครับ ขอบคุณพี่ปันที่สละเวลามาให้สัมพาษณ์มากครับ ท้ายที่สุดแล้วอยากให้พี่ปันช่วยฝากหน้าที่ของเภสัชในความคิดพี่สักสามอย่างให้น้องๆ ได้รึเปล่าครับ
พี่ปัน : ค่ะสำหรับพี่ก็คงเป็นการสร้างค้นคว้าวิจัยผลิตยา แจกจ่ายยา และดูแลให้คำแนะนำค่ะ
สำหรับการสัมภาษณ์ในหัวข้อนี้ผู้ถูกสัมพาษณ์แม้จะจบมาจากคนละสาขาแต่ก็สามารถทำร้านขายยาได้ทั้งคู่ และทั้งคู่เริ่มต้นการทำงานในสายอาชีพนี้ด้วยเหตุผลเล็กน้อยแต่ก็มีการฝ่าฟันเรื่องราวต่างๆ และยังคงหาเหตุผลให้ตัวเองยังดำเนินไปต่อในสายอาชีพนี้ได้
ถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับรุ่นน้องเพื่อนำคำตอบไปใช้เป็นแนวทางหรือการเตรียมใจที่จะพบกับสิ่งที่อาจจะต้องเผชิญในภายภาคหน้า รวมไปถึงได้รับในแง่มุมของกำลังใจและแรงบันดาลใจในการเป็นเภส้ชกรมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนขอขอบคุณผู้ใ้ห้สัมพาษณ์เอาไว้ ณ ที่นี้