Reflection การสร้างนวัตกรรมทางเภสัชศาสตร์

ปัจจุบันคำว่า “นวัตกรรม” เป็นที่แพร่หลายอย่างมากในทุก ๆ วงการสายอาชีพ อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจถึงนิยาม ความหมาย หรือจะรู้ว่าควรจะเริ่มต้นหรือมีแนวคิดอย่างไรหากต้องการจะสร้าง “นวัตกรรม” ได้

อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยรายวิชา PIL 2 ได้เปิดโอกาสให้ได้รับฟังแนวคิดและประสบการณ์ เกี่ยวกับการสร้างผลงานและนวัตกรรม รวมถึงแนวคิดต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ ผู้เขียนจึงนำมาสรุปเรื่องราวและใจความสำคัญต่างๆ ที่ได้รับมาจากการฟังในแต่ละหัวข้อต่อจากนี้

หัวข้อที่ 1 นวัตกรรมการวิจัย และ เทคนิคการ pitching

โดย ศ.ภญ.ดร. พรอนงค์ อร่ามวิทย์

สิ่งสำคัญที่ต้องมีในการสร้างนวัตกรรมคือการมีความรู้ที่กว้าง รวมถึงมีความเชี่ยวชาญจากหลายๆ สาขาร่วมกันทั้งในแง่ของความรู้ทางวิชาการ การโฆษณา และความรู้ทางด้านวิศวกรรมการผลิต ดังเช่นตัวอย่างว่าหากเภสัชกรมองหม่อนไหมก็จะนึกออกเพียงการนำไปทำเป็นยา แต่หากเป็นมุมมองวิศวกรเคมีก็อาจมองในมุมของการนำไปผลิตเป็นเสื้อเกราะกันกระสุน ทำให้เกิดมุมมองร่วมกันที่กว้างขวางมากขึ้นและแลกเปลี่ยนเป็นความรู้ที่สนใจได้

การจะเริ่มต้นทำนวัตกรรมได้จะต้องเริ่มมาจากการสังเกตุสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน และสามารถจับปัญหาได้ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เลือกมาวิจัยนั้น จะต้องเป็นปัญหาที่มี impact ต่อท้องตลาด รวมถึงมีความสามารถที่จะยกระดับขึ้นไปในระบบการผลิต และ ขึ้นในระดับ marketing ได้ เนื่องจากไม่ใช่ทุกงานวิจัยพัฒนาที่จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ผู้ผลิตทำต่อได้ แม้ว่าผู้ผลิตจะมีกำลังซื้อสิทธิบัตรไปผลิต แต่ตัวผู้ผลิตอาจไม่มีกำลังพอที่จะผลิตได้ตามเงื่อนไขที่ต้องทำตามเพื่อรักษาคุณภาพเช่นกัน รวมถึงผู้รับผลิตควรจะมีฝ่ายวิจัยและพัฒนาของตนเองเนื่องจากหากไม่มีการพัฒนาสิ่งที่ผลิตก็อาจตกยุคได้ทุกเวลา อย่างไรก็ตามผู้วิจัยสามารถที่จะใช้การจ้างให้ผลิตแทนการรอให้ผู้ผลิตมารับซื้อสิทธิบัตรไปเองก็ได้ แต่จะต้องระวังในเรื่องของการถูกขโมยผลงานไปผลิตตามด้ว เพื่อป้องกันการถูกลอกเลียนแบบ เราสามารถที่จะจดสิทธิบัตรได้ทั้งตัวงานวิจัย หรือแม้แต่ process การผลิตได้ เพื่อป้องกันการถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

อย่างไรก็ตามนวัตกรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เร็ว ทำเงินได้เร็ว แต่ก็ตกยุคได้เร็วมากเช่นกัน การวางแผนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นด้วย โดนการเริ่มต้นนั้นเราควรมองในสิ่งที่เรามีองค์ความรู้แน่ชัดและสามารถทำได้เอง โดยจะต้องเพิ่มเติมในส่วนของความแตกต่าง ราคาที่สมเหตุสมผล และความต้องการของตลาด เพื่อให้นวัตกรรมที่ผลิตขึ้นมานั้นสามารถมีจุดยืนในสังคมและเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้จะต้องมีความเข้าใจถึงจุดแข็งและนำเสนอออกมาให้ได้มากที่สุด รวมถึงรู้จักจุดอ่อนและเก็บเอาไว้ได้

ท้ายที่สุดคือการ pitching หรือก็คือการนำเสนอในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงตัวนวัตกรรมได้เร็วที่สุดเนื่องจากนวัตกรรมอาจะถูกคนอื่นคิดสิ่งที่ดีกว่าได้ในอีกไม่นาน เทคนิกในส่วนนี้จึงต้องอาศัยการฝึกฝน โดยเน้นถึงการมองผู้ฟังว่ายังไม่รู้อะไรเลย และอธิบายให้ตรงถึงสิ่งที่อยากจะนำเสนอให้มากที่สุด โดยไม่ใช้ศัพท์ทางเทคนิค นำเสนอถึงความแตกต่างกับสิ่งที่อยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน และท้ายที่สุดคือการบอกถึงความเสี่ยงของนวัตกรรมที่สร้างขึ้นมาด้วย

หัวข้อที่ 2 Herbal innovation for PM 2.5 protection

โดย ศ.รตอ.หญิง.ภก.ดร. สุชาดา สุขหร่อง

ในส่วนนี้เป็นนวัตกรรมการกำจัดฝุ่น PM 2.5 ของโครงการที่ชื่อว่า Phyphoon โดยอาจารย์ได้นำเสนอแนวคิดเบื้องต้นว่า “การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนเกิดจากการลงแรง”

แนวคิดในโครงการนี้เริ่มต้นจากการเล็งเห็นว่าปัญหาฝุ่น PM 2.5 นั้นมาทุกปีเหมือนกับเป็นฤดูกาล รวมถึงเป็นปัญหาในระดับประเทศจึงมีความคุ้มค่ากับการจะนำมาแก้ปัญหา เนื่องจากจะมี impact ต่อสังคมและเศรษฐกิจมาก และด้วยมุมมองของอาจารย์ผู้เป็นเภสัชกรที่ได้มีจินตนาการว่าฝุ่นที่ล่องลอยในอากาศก็เปรียบเสมือน colloid ที่ลอยตัวในยาลดกรด ซึ่งเราก็ควรที่จะทำให้มันตกตะกอนได้ด้วยสารเหนียวบางอย่างได้เช่นกัน

แม้ว่าจินตนาการกับการจับปัญหาจะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการเริ่มต้น แต่การที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริงก็นับว่าเป็นโจทย์ที่ยากเช่นกัน โดยในที่นี้อาจารย์ได้ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องฝุ่นเพื่อขอความร่วมมือในการใช้องค์ความรู้เกี่ยวกับฝุ่น อีกทั้งการออกแบบสูตรของสเปรย์จับฝุ่นก็ยังต้องอาศัยอการร่วมมือของอาจารย์ของเภสัชศาสตร์อีกหลายๆ สาขา เพื่อค้นหาสูตรที่มีประสิทธิภาพที่ต้องการมากที่สุด

อย่างไรก็ตามการที่จะพิสูจน์ว่าสูตรที่ดีที่สุดนั้นใช้ได้จริงก็เป็นเรื่องท้าทาย ในส่วนนี้อาจารย์ได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในการพิสูจน์ค่า เนื่องจากหากใช้ความได้เปรียบในส่วนนี้ก็จะถูกลอกเลียนแบบได้ยาก สำหรับโครงการนี้ก็ได้มีการใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนในการดูประสิทธิภาพในการตรวจดูฝุ่นที่จับได้ รวมถึงมีการขอความร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์จุฬาในการใช้เครื่องชั่งน้ำหนักความละเอียดสูงร่วมด้วย จนกระทั่งได้สูตรของน้ำยาสเปรย์กำจัด PM 2.5 ที่มีความสามารถในการดักจับฝุ่นได้ถึง 80% ในพื้นที่ปิด

นอกจากในขั้นตอนของการวิจัยแล้วการสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อสร้างความได้เปรียบในการ pitching ก็มีความสำคัญ โดยอาจารย์ได้ทำการยื่นขอ CU proved ซึ่งเป็น brand ของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการยืนยันว่าได้ผ่านการทดสอบคุณภาพ ความปลอดภัย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัย อีกทั้งจะต้องมีความเข้าใจถึงจุดแข็งเมื่อเทียบกับสินค้าที่ทำหน้าที่แบบเดียวกันได้เพื่อสร้างมูลค่า และเข้าใจถึงผู้ฟังการ pitching ว่าเป็นคนกลุ่มไหน ต้องการอะไร อย่างไรก็ตามหลักของการขายสิทธิบัตรไม่ใช่เพียงแค่ใครเงินหนาสุดคนนั้นได้ แต่จะต้องดูถึงทัศนคติของผู้รับซื้อด้วย เนื่องจากคนบางกลุ่มอาจซื้อไปแต่ไม่ได้เอาไปทำอะไรต่อ

ท้ายที่สุดแล้วรายได้ที่ได้กลับมาก็ย่อมมีวันหมดลงหากนำมาแค่สานต่อจากโครงการเดิม ดังนั้นการบริหารจะต้องมองหาโอกาสในการพัฒนาและขยายผลอยู่เสมอ ดังเช่นโครงการ Phyphoon แม้จะเริ่มจากการใช้ในพื้นที่ปิด ก็มีการขยับไปใช้กับพื้นที่กึ่งปิดอย่างร้านอาหารที่มีระเบียง หรือแม้แต่การร่วมกับวิชาชีพอื่นๆ ในการขยายผลเช่นการใช้โดรนในการพ่นสเปรย์ในพื้นที่กว้างจากการร่วมมือของบริษัทย่อยในเครือ ปตท. ร่วมกับการคำนวณกลศาสตร์ของไหลในพื้นที่กว้างอากาศปิดเพื่อใช้เป็นสถานที่ทดสอบ ทำให้ขยายผลต่อจากสิ่งเดิมที่ทำได้ หรือแม้แต่การทำ product ใหม่ๆ เพื่อหาช่องทางรายได้อื่น เช่น การลดฝุ่นในห้องด้วยการเลี้ยงต้นไม้ซึ่งได้จากองค์ความรู้ทางพฤกษศาสตร์ หรือ การใช้สเปรย์เพื่อกำจัดเชื้อไวรัส covid 19

หัวข้อที่ 3 Vaccine for Covid 19

โดย รศ.ดร. วรัญญู พูลเจริญ และ พี่ตอง

ในส่วนนี้จะเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ในการทำ start up ของบริษัท Baiya phytopharm โดยพี่ตอง ซึ่งเป็น Co-founder จะเป็นผู้บรรยายหลักในส่วนนี้

Start up คือการรวมตัวกันทำงานของคนกลุ่มเล็กๆ โดยตั้งเป้าที่จะเป็น unicorn หรือก็คือการกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูง อย่างไรก็ตามทางสถิติแล้วมี start up ถึง 92% ที่ต้องปิดตัวลงไปภายใน 3 ปีแรก

ประสบการณ์ในปีแรกจะเป็นการทำ sandbox ซึ่งเป็นการทดลองดำเนินการโดยให้มีผลกระทบน้อยที่สุด โดยมีคนในบริษัทเพียง 5 คน เป็น Co-founder 2 คน และพนักงาน 3 คน ในรูปแบบของการทำ molecular farming เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งด้วยเหตุที่มีคนน้อยตัวพี่ตองเองจึงต้องทำหลายๆ หน้าที่ทั้งการคุยกับลูกค้า การคุมการผลิต รวมไปถึงการออกใบเสนอราคา การกล้าที่จะลงมือ การไม่กลัวที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้บริษัทเดินต่อไปได้

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันได้มีทั้งนักวิจัย นักบัญชี เภสัชกร และตำแหน่งอื่นๆ มาเพิ่มเรื่อยๆ จนมีคนในบริษัทถึงกว่า 40 คน อีกทั้งในช่วงโควิดระบาดก็ได้มีโครงการที่จะทำวัคซีนประเภท protein subunit ซึ่งก็ได้ออกแบบแอนติบอดี้ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วภายหลังทราบ sequence ของสารพันธุกรรมในไวรัส เนื่องจากมีนักวิจัยที่เชี่ยวชาญมาร่วมทีมด้วย แต่ตัวบริษัทเองก็ไม่ได้ทำทุกขั้นตอนเองหมด การอาศัยความร่วมมือจากภายนอกที่เชี่ยวชาญในด้านอื่นๆ มาร่วมงานจะทำให้งานไปได้เร็วและดีกว่า ถึงแม้ว่าการเล่าเรื่องจะดูเป็นไปได้ดี แต่พี่ตองก็ยังย้ำถึงความล้มเหลวที่ดกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอนที่ก็ต้อวผ่านมาหลายครั้งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

หัวข้อที่ 4 Innovative herbal material protein platform

โดย รศ.ดร. สรกนก วิมลมั่งคั่ง

การจะทำนวัตกรรมได้จะต้องเริ่มจากการงิจัยและพัฒนาที่ดี จึงจะสามารถยกระดับไปในขั้นของการ production และ marketing ได้ โดยแนวคิดในการวิจัยของอาจารย์จะให้ความสนใจที่การทำ raw material ที่ได้จากพืช ซึ่งอาจได้มาทั้งจากการสะกัดเอาจากพืชนั้นโดยตรงหรือการเพาะเลี้ยงเซลล์เป็น callus ก็ได้

การได้สารสำคัญจากทั้งสองวิธีนั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามการเพาะเลี้ยงเซลล์จะได้เปรียบในเรื่องของการไม่ต้องพึ่งพาฤดูกาล รวมถึงจะให้สารที่ต้องการได้มากกว่าโดยไม่ถูกรอบกวนจากสารเคมี ยาฆ่าแมลง หรือสภาวะอื่นๆ มี่เกิดขึ้นกับพืชที่โตตามปกติ อย่างไรก็ตาม key ของการได้สารสำคัญที่ต้องการก็ขึ้นกับอาหารที่ใช้เลี้ยง callus เป็นหลัก แม้จะทำให้เนื้อเยื่อโตไวได้ แต่ก็อาจไม่ให้ผลิตมาก จึงต้องมีการวิจัยถึงอาหารที่เหมาะสมเช่นกัน โดยการทดลองทั้งหมดจะทำในสเกลเล็กๆ ใน lab ที่ออกแบบเอง เพื่อให้พร้อมต่อการยกระดับไปเป็นการ production อย่างไรก็ตามการจะยกระดับก็คงมีโจทย์อื่นๆ ให้เข้ามาแก้อีกแน่นอน

ท้ายที่สุดอาจารย์ได้พูดถึง green extraction ซึ่งเป็นการวิจัยการสะกัดสารสำคัญโดยไม่ทำให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม โดยอาศัยหลักการ supercritical fluid extraction ของ carbondioxide ซึ่งเป็นเทคนิคที่จะทำให้ได้ลักษณะและปริมาณที่จำเพาะ และเลียนแบบได้ยาก และอาจารย์ยังได้เสริมว่า หลักการ supercritical fluid เป็นส่วนที่เราได้เรียนมาแต่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะได้ใช้จนได้มีโอกาสแบบนี้ นั่นหมายความว่าการที่เราได้เรียนอะไรไปไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ได้ใช้ แค่ว่าเราจะมีโอกาสที่ต้องใช้มันรึเปล่า

หัวข้อที่ 5 Chemical test for alcohol-containing product

โดย ผศ.ดร. ศุภกาญจน์ ชำนิ

ในส่วนนี้จะเริ่มต้นถึงการบรรยายองค์ความรู้เกี่ยวกับ alcohol gel สำหรับฆ่าเชื้อ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงเวลาที่มีการระบาดของไวรัส covid 19 โดยสารหลักที่นำมาผลิตมักจะมี 2 อย่าง ได้แก่ isopropyl alcohol ซึ่งมีความสามารถในการกำจัด virus และ fungi สูงแต่ทำให้ระคายเคืองทางเดินหายใจได้ง่าย และ ethyl alcohol ซึ่งมีความสามารถในการกำจัด bacteria สูง อีกทั้งมีผลต่อการระคายเคืองที่ต่ำ

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการจะฆ่าเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ alcohol gel จะต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 70% แต่บางยี่ห้อกลับมีไม่ถึง อีกทั้งมีการปนเปื้อนของ methyl alcohol ทั้งจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจของผู้ผลิต ซึ่งมีความสามารถในการกำจัดเชื้อต่ำ และมีความเป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์สูง ทั้งต่อทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร และระบบการมองเห็น ซึ่งมีงานวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลกว่ามีผู้เสียชีวิตจากการได้รับ methyl alcohol จากการใช้เจลล้างมือ

การจะแยก methanol และ ethanol จากคุณสมบัติทางกายภาพโดยรวมนั้นทำได้ยากเนื่องจากมีความใกล้เคียงกันมาก จึงต้องมีเทคนิคที่ใช้ในการแยกสารสองประเภทนี้ออกจากกัน ได้แก่

1. Burning test การเผาไหม้สารสองประเภทนี้จะให้สีของเปลวที่แตกต่างกัน รวมถึงมีระยะในการติดไฟที่นานไม่เท่ากัน แต่ก็เป็นวิธีที่อันตรายที่อาจทำให้เกิดการระเบิดได้

2. Chemical test เป็นวิธีที่เร็วและให้ผลที่ค่อนข้างชัด เพียงแต่อาจเกิด false positive จากเทคนิคการทดลองที่ไม่ดีได้ จึงอาจจะต้องอาศัยการสอบมวนจากวิธีอื่นเข้าร่วมด้วย

3. Gas chromatography เป็นวิธีในการจำแนกที่แม่นยำที่สุด แต่ต้องอาศัยเครื่องมือในการใช้งาน

ในส่วนของอาจารย์เองได้เล็งเห็นว่าวิธีการ chemical test เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดที่จะออกแบบเป็นชุดตรวจสำหรับครัวเรือนทั่วไป จึงได้เริ่มการสำรวจความรู้ทั้งที่มีอยู่ ทั้งที่เป็นความรู้ใหม่เพื่อที่จะให้ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำให้เกิดขึ้นจริงได้ อีกทั้งจะต้องสำรวจว่าในตลาดข้างนอกมีชุดตรวจแบบใดอยู่บ้าง เพื่อจะได้สร้างนวัตกรรมที่แตกต่างและแก้ปัญหาให้สังคมได้

จากการค้นหาก็พบว่ามีทั้งการใช้ iodoform, การใช้ betadine กับโซดาไฟ ซึ่งมีความอันตราย, การใช้ sodium dichromate ซึ่งจะต้องตรวจผ่านกลิ่นแต่เจลล้างมือมักจะแต่งกลิ่นมาด้วยทำให้ตรวจได้ยาก และวิธีการใช้ด่างทับทิมกับน้ำส้มสายชูแต่จะต้องเป็นการเตรียมสารที่ใช้ทันทีที่ผสมเพื่อป้องกันผลคลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามคู่แข่งที่ดูจะเหมาะสมที่สุดคือชุดตรวจ alcohol ของกรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งให้ความแม่นยำจนถึงความเข้มข้น alcohol 2% และดูผลการวัดได้ชัดเจน แต่มีข้อเสียที่ใช้งานได้ยากเพราะต้องมี reagent ถึง 7 ชนิด

อาจารย์จึงได้ค้นหาสารที่จะมาแก้ปัญหาความยุ่งยากดังกล่าว จนได้พบกับสารที่เป็นสีผสมอาหารซึ่งสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาวะต่างๆ และนำมาดัดแปลงเป็นชุดตรวจ alcohol ซึ่งใช้งานได้ง่าย ปลอดภัย และใช้ในการแยกชนิดของ alcohol และบ่งบอกถึงปริมาณได้ แม้จะไม่ละเอียดเท่าของกรมวิทยาศาสตร์แต่ก็เพียงพอต่อการใช้ของครัวเรือน อย่างไรก็ตามกว่าจะยกระดับมาถึงการ marketing ได้ ก็ต้องผ่านการออกอนุสิทธิบัตร, การ field test ทดสอบกับ alcohol gel หลายยี่ห้อที่มีอยู่ตามท้องตลาด และที่สำคัญที่สุดคือการทดสอบจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ โดยทวนสอบด้วย gas chromatograhpy เพื่อออก certificate ว่าชุดตรวจสามารถจำแนกประเภท alcohol ได้อย่างแม่นยำแท้จริง

โดยสรุปแล้วแม้เรื่องราวของอาจารย์และผู้บรรยายแต่ละท่านจะมาจากหลากหลายสาขาและประสบการณ์ แต่ก็มีสิ่งคล้ายๆ กันกันในแง่ของการทำนวัตกรรม เช่น แนวคิดขั้นตอนในการทำวิจัยพัฒนาก่อนที่จะบกระดับไปยัง production และ marketing , การสำรวจตลาดและการสังเกตุปัญหาเพื่อสร้างความแตกต่าง , การกล้าที่จะลงมือทำและเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ และ การรู้ถึงจุดแข็งจุดอ่อนของทั้งของตัวเองและของนวัตกรรมที่สร้างขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้เขียนได้ในวันข้างหน้า

Benadryl Challenge กับการท้าทายความตาย

ยา Benadryl ภาพประกอบจาก Amazon.com

Challenge หรือการท้าท้าย เป็นสิ่งที่ใช้เรียกการอัดคลิปการทำสิ่งตามหัวข้อที่ถูกท้าต่อๆ กันมา ปรากฎให้เห็นมากตามสื่อโซเชียล มีตั้งแต่หัวข้อง่ายๆ อย่างการท้าให้ปิดตาวาดรูป จนถึงเสี่ยงต่อชีวิต เช่นการท้ากินยา ดังที่จะเล่าในหัวข้อนี้

ยาไดเฟนไฮดรามีน หรือที่รู้จักในชื่อการค้า Benadryl เป็นยารักษาอาการภูมิแพ้ สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ โดยมีผลในการต้านการทำงานของฮิสตามีน เกินขนาด อาจทำให้เกิดอาการง่วงนอน, ปากแห้ง, ท้องผูก ไม่สามารถปัสสาวะได้ กรณีที่รุนแรงมากขึ้นอาจนำไปสู่ภาพหลอน ชัก เพ้อ โรคจิต โคม่า จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ข่าวการเสียชีวิตจาก Benadryl challenge จากเว็บไซต์ Reddit

อย่างไรก็ตามไม่นานมานี้มีการท้าทายให้กินยา Benadyrl 10 เท่าของขนาดปกติ เพราะมีความเชื่อว่ายาที่ไม่ต้องใช้ใบแพทย์ คือยาที่ไม่อันตรายและจะกินเท่าใหร่ก็ได้ ทำให้เกิดการท้าทายในกลุ่มวัยรุ่นผ่านทางโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้มีรายงานว่าพบผู้ป่วยวัยรุ่นจำนวนมากเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากกินยาเกินขนาด

พวกเราทุกคนควรมีความเข้าใจก่อนว่าไม่มียาอะไรที่จะกินเล่นๆ ได้ และไม่มียาตัวใดที่กินเกินขนาดที่ระบุไว้แล้วจะปลอดภัย ความสนุกสนานแค่ชั่วคราวในหมู่เพื่อน อาจทำให้เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อหรือ มีชีวิตอยู่ต่ออย่างทรมาณก็เป็นได้ ผู้ปกครองควรที่จะดูแลเด็กๆ อย่างใกล้ชิดในเรื่องของการใช้ยา รวมไปถึงตัวผู้จำหน่ายยา เภสัชกร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องควรมีการควบคุมการซื้อยาที่ไม่สมเหตุสมผล เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้

อ้างอิงข่าว : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1949166

ปลายฝนต้นหนาว กับการระบาดของ RSV

ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงนอกจากจะให้ร่างกายต้องปรับตัวแล้วยังเป็นการมาของโรคระบาดชนิดต่างๆ อีกด้วย ดังนั้นนอกจากจะต้องรักษาสุขภาพร่างกายแล้ว ก็ต้องรู้จักโรคระบาดเพื่อป้องการการรับเชื้ออีกด้วย

ภาพประกอบจาก เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ

RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus คือไวรัสที่มาพร้อมกับช่วงปลายฝนต้นหนาว ก่อให้เกิดโรคทางระบบหายใจทั้งส่วนบนและล่างส่งผลให้มีเสมหะออกมาจำนวนมาก มักเกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็ก ผู้ปกครองจึงควรดูแลเด็กๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อสังเกตุอาการ

อย่างไรก็ตามหากมีสุขภาพร่างกายที่ดีจะสามารถหายได้เอง แต่กับเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังต่ำ ในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคปอด โรคหัวใจ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงหากมีการติดเชื้อ RSV โดยที่สามารถติดต่อได้ทางการไอ จาม หรือจากน้ำมูก น้ำลาย ซึ่งการเสียชีวิตมักมาจากภาพวะแทรกซ้อนจากการหายใจล้มเหลว โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกันอีกทั้งเมื่อติดเชื้อก็จะต้องรักษาตามอาการเท่านั้น

การป้องกันการติดเชื้อ RSV ทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาด การใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในที่คนพลุกพล่าน ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อขับเสมหะและป้องกันสภาวะขาดน้ำ ไม่ใช้ภาชนะร่วมกัน หากเป็นเด็กเล็กยังไม่หย่านมให้ดื่มนมแม่ให้มากที่สุดตามต้องการ

โปสเตอร์ให้ข้อมูลการรับมือไวรัส RSV โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การสังเกตุผู้ติดเชื้อสามารถทำได้ โดยเบื้องต้นจะมีการฟักตัว 3-6 วัน หลังจากนั้นจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด มีน้ำมูก จาม ไอ ซึ่งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเสมหะมาก เหนื่อยหายใจหอบ หายใจมีเสียงหวีด โดยอาจเกิดได้จากหลอดลมตีบ หรืออักเสบ

ช่วงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นช่วงที่เราจะต้องดูแลตัวเองและคนรอบข้างอย่างใกล้ชิด เตรียมร่างกายให้ให้พร้อมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ก็ควรจะหมั่นดูแลเพื่อให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีสุขภาพดี

กิจกรรมเรียนรู้จากการทำงานจริง

การเรียนรู้จากการทำงานจริงเป็นส่วนหนึ่งของ วิชาการบูรณาการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์วิชาชีพ ซึ่งเป็นวิชาเรียนของผู้เขียนที่เป็นนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีจุดประสงค์เพื่อให้มีประสบการณ์การทำงานและเรียนรู้ระบบการทำงานจริงของสังคม

ในส่วนของบทความนี้จะเป็นการอธิบายผ่านประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้ไปเป็นส่วนหนึ่งของอาสาสมัครในงาน โดยจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการไปทำงานคัดกรอง covid19 ที่โบสถ์ St.Louis และ การเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ส่วนที่ 1 งานตรวจคัดกรอง Covid19 ที่โบสถ์ St.Louis

โบสถ์ St.Louis เป็นสถานที่ซึ่งชาวคริสต์จะมาเข้าร่วมศาสนพิธีในทุกวันอาทิตย์ โดยจะแบ่งเป็น ช่วงเช้า และ ช่วงบ่าย อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัส Covid19 จึ่งต้องมีการตรวจคัดกรองและการนับจำนวนคนที่เข้าร่วมศาสนพิธีในพื้นที่

รูปแบบการคัดกรองจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของโบสถ์ ก่อนเข้าจะต้องมีการสแกนแอพไทยชนะเพื่อให้ทางโบสถ์เก็บรายชื่อสำหรับตรวจสอบย้อนหลังกรณีที่มีการตรวจพบการติดเชื้อภายในสถานที่หรือจากบุคคลที่มาเข้าร่วม แต่หากผู้เข้าร่วมไม่สันทัดการใช้แอพ ก็สามารถลงชื่อด้วยการเขียนได้

การลงทะเบียนผ่าน QR code แอพไทยชนะ
การลงทะเบียนในรูปแบบการเขียนชื่อ

ส่วนต่อมาคือสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกของโบสถ์ โดยจะมีการลงทะเบียนเพื่อทำบัตรสมาชิก สามารถแตะบัตรเช้ากับเครื่องอ่านบัตรเพื่อบันทึกชื่อได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาใช้แอพหรือเขียนชื่อก่อนเข้า อย่างไรก็ตามหากบัตรเพิ่งลงทะเบียนจะไม่สามารถใช้งานได้ โดยจะต้องรอทีมงานของโบสถ์ทำการลงทะเบียนให้อีก 1 อาทิตย์ ระหว่างนั้นจะต้องใช้วิธีแรกในการลงทะเบียนเข้าก่อน

การลงทะเบียนด้วยการสแกนบัตรสมาชิก

หลังจากลงทะเบียนแล้วสิ่งที่ผู้เข้าร่วมจำเป็นต้องทำคือการวัดอุณหภูมิโดยใช้เครื่องวัดอุณหภูมิพื้นผิว วัดที่บริเวณฝ่ามือหากมีอุณหภูมิสูงเกิน 39 องศาเซลเซียส จะมีการแจ้งเตือนว่ามีอุณหภูมิเกินไม่สามารถให้เข้าในบริเวณพื้นที่ได้ ยกเว้นกรณีเครื่องแจ้งเตือนเพราะมีอุณหภูมิต่ำเกินไป อาจเป็นเพราะเพิ่งลงจากรถที่การเปิดเครื่องปรับอากาศทำให้ผิวมีอุณหภูมิต่ำ เครื่องจะขึ้นการแจ้งเตือนว่า “Lo” กรณีนี้สามารถให้ผ่านไปได้

การต่อแถวเพื่อใช้เครื่องวัดอุณหภูมิ

กระบวนการทั้งหมดจะดำเนินไปเรื่อยๆ จนครบ 350 คน หากมากกว่านั้นจะต้องไปอยู่ที่บริเวณที่นั่งสำรองภายนอก เนื่องจากพื้นที่ภายในมีการเว้นระยะห่างตามมาตรการ Social distancing จึงไม่สามารถรับคนเข้าไปเพิ่มให้เกิดการแออัดได้

ที่นั่งภายในโบสถ์ซึ่งมีการเว้นระยะห่าง ตามมาตรการ Social distancing
ที่นั่งสำรองภายนอกกรณีผู้เข้าร่วมภายในโบสถ์ครบ 350 คน

นอกจากนี้ทางโบสถ์จะมีการรับมือกับผู้พิการที่นั่งรถเข็นโดยจะมีประตูพิเศษที่จะมีทางขึ้นเป็นทางลาดสำหรับให้เข็นรถขึ้นได้ และมีห้องที่มีล่ามภาษามือที่คอยแปลคำสอนให้กับผู้มีความพิการทางการได้ยินอีกด้วย

ทางเข้าพิเศษสำหรับผู้ใช้รถเข็น

ส่วนที่ 2 งานเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎ

แผนกเวชบริภัณฑ์กลางเป็นส่วนที่คอยเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับแผนกต่างๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาล ที่มีการร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นแผนกผ่าตัด แผนกเวชปฏิบัติทั่วไป หรือแผนกเวชปฏิบัติฉุกเฉิน โดยจะเป็นงานแบบทำตามจำนวนที่สั่งเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดการค้าง stock นอกจากนี้ยังเป็นแผนกที่รับคนภายนอกเข้ามาศึกษางานหรือจิตอาสาในหลากหลายช่วงวัยอีกด้วย อีกทั้งก่อนเข้าจะต้องมีการใส่ชุดคลุม แมสก์ และผ้าคลุมหัวเพื่อป้องกันการปนเปื้อนในอุปกรณ์อีกด้วย

การแต่งกายก่อนเข้าห้องปฏิบัติงาน

ในส่วนของงานที่ผู้เขียนได้รับจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ การจัด Cotton bud เข้าบรรจุภัณฑ์ และการพับเก็บปลายผ้ากอชสำหรับการใช้ในงานผ่าตัด

ในส่วนของงานแรกเป็นการใส่ Cotton bud เข้าในบรรจุภัณฑ์แบบพิเศษ เป็นซองที่สามารถนำไปฆ่าเชื้อด้วยการอบไอน้ำความร้อนสูง โดยจะมีแถบบ่งบอกว่าอุปกรณ์ดังกล่าวผ่านการฆ่าเชื้อแบบใดมา โดยจะเปลี่ยนสีบนซองตามกระบวนการฆ่าเชื้อ และสามารถฉีกออกได้โดยไม่เกิดเศษปะปนกับอุปกรณ์ภายในเพื่อความปลอดภัยเมื่อนำไปใช้กับผู้ป่วย

งานบรรจุ Cotton bud เข้าบรรจุภัณฑ์
แถบสีข้างซองก่อนฆ่าเชื้อ (ล่าง) และหลังฆ่าเชื้อ (บน)

ตัวซองจะมาเป็นม้วนและต้องตัดตามขนาดที่ต้องการ เมื่อตัดเสร็จแล้วให้ปิดผนึกด้วยความร้อนเพื่อเปลี่ยนให้ปลายเปิดเป็นก้นซอง ก่อนการบรรจุ Cotton bud แต่ละอันจะต้องตรวจสอบว่าไม่มีเศษอะไรปะปนมากับปลายอุปกรณ์ และแต่งปลายให้กลมสวย ขณะบรรจุต้องดันลงไปให้สุดเพื่อให้ปิดผนึกซองตอนท้ายได้สนิท เมื่อปิดผนึกแล้วจึงนำใส่ตะกร้ารวมเพื่อนำไปเข้ากระบวนการฆ่าเชื้อต่อไป

การใช้เครื่องปิดผนึกซองด้วยความร้อน

ในส่วนของกระบวนการฆ่าเชื้อตัวผู้เขียนไม่ได้มีโอกาสได้เห็น เพียงแต่ได้ฟังคำบอกเล่าจากพนักงานในแผนกซึ่งได้เล่าว่าตู้อบฆ่าเชื้อเป็นแบบอบไอน้ำความร้อนสูง และจะนำไปอบพร้อมกับจานเพาะเชื้อมาตรฐาน ซึ่งตัวเชื้อเพาะเลี้ยงจะมีความสามารถในการทนความร้อนสูง หากเข้าอบแล้วเชื้อในจานที่อบพร้อมกับอุปกรณ์ตายหมดให้ถือว่าอุปกรณ์นั้นปลอดเชื้อ ก่อนนำไปเก็บในห้องที่ควบคุมความสะอาดเพื่อรอส่งมอบให้แผนกอื่นต่อไป

ส่วนของงานต่อมาคือการพับผ้ากอชสำหรับใช้ในงานผ่าตัด โดยตัวผ้ากอชจะซ้อนกันมาเป็นมัด หน้าที่ของเราคือการพับผ้ากอชเพื่อเก็บด้านปลายทั้งหมดเข้าด้านในเพื่อป้องกันการมีเศษผ้าหลุดเข้าไปในแผลและตกค้างเมื่อใช้ในงานผ่าตัด

การพับผ้ากอชเพื่อใช้ในงานผ่าตัด

ในขั้นตอนการทำสิ่งสำคัญคือจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพับผ้ากอชแค่เพียง 1 แผ่น จริงๆ เพราะในงานผ่าตัดจะต้องมีการนับจำนวนผ้ากอชที่ใช้ทุกครั้ง เพื่อป้องกันการลืมไว้ในตัวผู้ป่วย ถ้าใช้แล้วพบว่าขาดหรือเกืนอาจสร้างปัญหาให้ทีมผ่าตัดได้ โดยการพับจะมีวิธีเฉพาะที่จะม้วนปลายของทุกส่วนไปไว้ด้านใน และเมื่อพับเสร็จจะต้องตรวจสอบว่าไม่มีส่วนปลายขอบผ้ากอชหลุดออกมา ก่อนที่จะทำการนับจำนวนทั้งหมดและตรวจสอบขั้นสุดท้ายทีละชิ้นว่าใช้ผ้ากอช 1 ผืน ต่อ 1 อัน ก่อนที่จะเตรียมนำไปเข้ากระบวนการฆ่าเชื้อต่อไป

จากการได้เข้าไปเรียนรู้จาการทำงานจริงผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นส่าการทำงานนั้นผ่านการคิดวิเคราะห์ และการหามาตรฐานรองรับอย่างมาก และมีการออกแบบเพื่อมองหาขั้นตอนที่มีประสิทธิภาพและความสมเหตุสมผลในทุกๆ ขั้นตอน รวมไปถึงได้เรียนรู้วิธีการคิดเพื่อออกแบบการทำงาน ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างแน่นอนในภายภาคหน้า

ข้อมูลและประสบการณ์ในส่วนนี้ผู้เขียนต้องขอขอบคุณคุณพ่อพรชัย แก้วแหวน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด St.Louis และคุณ พันโทหญิง ธมนพรรษ บุญเจริญ หัวหน้าแผนกเวชบริภัณฑ์กลาง ที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้เข้ามามีประสบการณ์ในการทำงานทั้งหมดนี้ ไว้ ณ ที่นี้

ความปลอดภัยของการใช้ยาในผู้สูงวัย

ภาพประกอบจาก เว็บไซต์ไทยรัฐ

Aging society หรือสังคมผู้สูงวัย คือสังคมที่มีผู้อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป แบ่งได้เป็น 3 เฟส คือ

เฟส 1 ประชากรผู้สูงอายุมีจำนวน 11-12% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคนี้แล้ว และกำลังจะเข้าสู้เฟสต่อไป

เฟส 2 ประชากรผู้สูงอายุมีจำนวน 14 % ของประชากรทั้งหมดในประเทศ

เฟส 3 ประชากรผู้สูงอายุมีจำนวนมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ นับเป็นจุดอิ่มตัว

การที่ผู้สูงอายุในสังคมเพิ่มขึ้นมาก สิ่งที่ตามมาคือปัญหาเรื่องโรคภัยเรื้อรังที่แก้ด้วยการใช้ยา แต่การที่ยาจะช่วยให้มีชีวิตที่ดีและยั่งยืนได้นั้นย่อมต้องมาพร้อมกับการใช้ให้ถูกวิธี ไม่เช่นนั้นอาจะทำให้เกิดผลตรงกันข้าม

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและเพื่อให้อยู่อย่างห่างไกลโรคภัยควรทำตาม 5 ข้อ ดังนี้

1.เลือกดูแลตัวเองให้ดี ก่อนที่จะเลือกใช้ยา แม้โรคบางโรคอย่างเบาหวาน ความดัน จะมีโอกาสพบมากในผู้สูงวัย แต่ปัจจุบันโรคดังกล่าวก็ปรากฎให้เห็นในคนหนุ่มสาว ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังเหล่านี้พวกเราควรดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีตั้งแต่ก่อนเข้าวัยชรา

2.กินยาให้ตรงเวลาตามแพทย์สั่ง หากยารักษาโรคที่ได้มีความถูกต้องต่อโรค ก็ควรที่จะกินตามสั่งอย่างต่อเนื่องและมาตามนัดพบแพทย์ เพราะการหยุดแล้ทานใหม่ไม่ได้ให้ผลการรักษาดีเท่าการทานแบบต่อเนื่อง

3.สามารถซื้อยาเองได้แต่ต้องซื้อกับเภสัชกร ในโรคที่ไม่ร้ายแรงและสามารถหาซื้อยาได้ ควรรับการจ่ายยาโดยเภสัชกร และทานยาให้สม่ำเสมอตามเวลา

4.กินยาให้ครบโดส โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันปัญหาการดื้อยาจนไม่มียาตัวไหนรักษาได้ โดยการซื้อยาฆ่าเชื้อทุกครั้งควรปรึกษาเภสัชกรและกินให้ครบโดสตามเวลาอย่างเคร่งครัด

5.การใช้ยาตามเทรนด์ควรมีการปรึกษา แพทย์ หรือ เภสัชกร ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาชีวมวลวัตถุ หรือ สมุนไหี แทนการใช้ยาเคมี ในการรักษาโดยตรงหรือรักษาร่วมก็ตาม เพราะทั้งหมดล้วนอาจมีผลกับการออกฤทธิ์ของกันและกัน

การใช้ยาเป็นเรื่องที่มีแต่จะใกล้ตัวมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น กับสภาพร่างกายที่เสื่อมลง นอกจากจะต้องรักษาสุขภาพตัวเองตั้งแต่วัยหนุ่มสาวแล้ว การใช้ยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามสภาพอายุก็ต้องมีการปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงมากขึ้นจนสูญเสียค่ารักษาที่มากขึ้น หรือสูญเสียชีวิต

อ้างอิงข่าว : https://www.thairath.co.th/women/beauty/health/1501558

ความสำคัญของเภสัชกร

ยาเป็นสิ่งสำคัญและถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน ปัจจัย 4 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล อย่างไรก็ตามการใช้ยาที่ผิดข้อบ่งใช้ ผิดขนาด ผิดประเภท หรือมีพฤติกรรมร่วมที่ผิด ก็จะกลับส่งผลร้ายให้กับสุขภาพแทน

ภาพประกอบจากเวปไซต์ thairath.co.th

เภสัชกร คือตำแหน่งของบุคคลที่เข้ามากำกับดูแลการใช้ยา คนอาจจะละเลยเนื่องจากติดภาพการใช้ยาสามัญประจำบ้านที่อาจไม่ต้องมีการควบคุมอะไรมากและเป็นการรักษาตามอาการ แต่ยาในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งในแง่ของการใช้และการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เภสัชกรจึงกลายเป็นบุคคลที่ขาดไม่ได้เพื่อที่จะปกป้องการรักษาโรคและชีวิตของผู้ป่วย

ในสังคมปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคเฉพาะทางมีมากขึ้นตามสถิติ การใช้ยาเฉพาะทางที่มีความซับซ้อนและต้องการการดูแลจึงมีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยในกลุ่มยาดังกล่าวเภสัชกรมีหน้าที่ตั้งแต่การดูแลการสั่งซื้อ การนำมาใช้ การแปรรูปให้เหมาะสม การป้องกันการเกิดยาตีกัน รวมไปถึงการติดตามผลและประสิทธิภาพในการรักษา และในกรณีผู้ป่วยนอกก็ต้องทำการจัดยาและตรวจสอบความถูกต้องในขั้นสุดท้ายก่อนส่งถึงมือผู้ป่วย โดยบทบาทดังกล่าวมักจะเป็นที่เข้าใจต่อบุคคลภายนอกว่าเภสัชกรมีหน้าที่เพียงการจัดยา หากเทคโนโลยีเข้ามาแทนในส่วนนี้แล้ว เภสัชกรก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

เครื่องจ่ายยาอัตโนมัติ รพ.เวชธานี : ภาพจาก เว็บไซต์ mthai.com

ถึงแม้ความคิดดังกล่าวเกี่ยวกับเทคโนโลยีการจัดยาจะค่อนข้างแพร่หลายและทำให้เภสัชกรถูกมองว่าด้อยค่า แต่เภสัชกรก็ไม่ได้รังเกียจหากจะมีเทคโนโลยีเที่ช่วยในการจัดยาเข้ามา เนื่องจากตัวเภสัชกรเองจะสามารถนำเวลาไปใข้ทำอย่างอื่นได้ไม่ส่าจะเป็นหน้าที่ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือการมีเวลาไปใกล้ชิดและให้คำแนะนำการใช้ยาหรือสมุนไพรที่ผู้ป่วยนำมาใช้เองได้มากขึ้น

ดังนั้นแล้วสิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะมองว่าเภสัชกรจะอยู่ในชนชั้นหรือในระดับใดก็ตามแต่ ผู้เขียนแนะนำว่าหากคุณมีอาการไม่พึงประสงค์ หรือมีความไม่มั่นในในการใช้ยา สมุนไพร ไม่ว่าจะมาจากที่โรงพยาบาลหรือที่บริการทางสาธารณะสุขใด หรือแม้แต่จะมาจากตัวคุณหรือคนรู้จักของคุณแนะนำมาเอง อย่าไดัลังเลที่จะถามหรือขอคำแนะนำจากเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยและเพื่อสุขภาพที่ดีต่อตัวคุณเอง

อ้างอิงข่าว : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1390934

4 วิธีการเลือกอาหารเจ

ภาพจากเว็บไซต์ สสส.

ช่วงเทศกาลกินเจ เป็นช่วงที่คนที่มีความเชื่อแบบคนจีน จะทำการงดเนื้อ งดอาหารรสจัดเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต การบริโภคผักให้มากขึ้นและลดการกินเนื้อโดยรับโปรตีนจากธัญพืชและถั่วแทนนั้นเป็นผลดีต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามหากเลือกวัตถุดิบที่ไม่ดีมา ก็จะทำให้เกิดโทษมากขึ้น จึงต้องมีการเลือกที่ดีก่อนจะนำมาบริโภค

เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคอาหารเจ จึงควรมีการเลือกดังนี้

1.เลือกจากร้านที่เข้าร่วมเทศกาลกินเจ เนื่อจากเป็นร้านที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว

2.สังเกตุการมีเนื้อสัตว์ปนเปื้อน

3.เลือกจากร้านที่มีป้ายรับรองความสะอาด

ป้ายรับรองอาหารสะอาด ภาพจาก กระทรวงสาธารณะสุข

4.เลือกทานที่มีโปรตีนเกษตรเป็นส่วนประกอบเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน และเป็นวัตถุดิบที่ดีไม่มีเชื้อราขึ้น

หากปฏิบัติตามได้ก็จะสามารถกินเจได้อย่างสบายใจและปลอดภัยต่อทั้งสุขภาพกายและใจ

อ้างอิงข่าว : https://www.thaihealth.or.th/Content/53355-4%20%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2.html

การเตรียมพร้อมร่างกายก่อนบริจาคเลือด

ภาพประกอบจาก BBC.com

เลือดคือส่วนสำคัญของร่างกาย และมีสรรพคุณรวมถึงใช้ในกระบวนการรักษาในผู้ป่วยที่เสียเลือดทั้งจากอุบัติเหตุและการผ่าตัด อย่างไรก็ตามเลือดไม่สามารถที่จะสร้างหรือสังเคราะห์ขึ้นมาเองได้โดยไม่ใช้ร่างกายมนุษย์ ดังนั้นโรงพยาบาลต่างๆ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการรับบริจาคเลือดเพื่อไว้ใช้สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว

ข้อดีของการบริจาคเลือด
ภาพจากเว็บไซต์ หน่วยบริจาคโลหิตเคลื่อนที่

การบริจาคเลือดสามารถทำได้ทุกๆ 3 เดือน หากเป็นคนปกติที่สุขภาพดีไม่มีปัญหาของการติดเชื้อหรือลักษณะของเลือดที่ผิดปกติเช่น โลหิตจาง หรือเม็ดเลือดผิดรูป หรือแม้แต่คนปกติก็ควรมีการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมก่อนการบริจาคเลือดเพื่อความปลอดภัยของตัวผู้บริจาคเอง

หลักการปฏิบัติตัวในการบริจาคเลือดมีดังนี้

1.ควรนอนพักผ่อนมาให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมง

2.มีสุขภาพดี ไม่เป็รไข้หวัดและไม่อยู่ระหว่างการรับประทานยา

3.ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว ก่อนการบริจาคเลือด ครึ่งชั่วโมง

4.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนเข้ารับบริจาคเลือด

5.งดสูบบุหรี่ ก่อน และ หลัง การบริจาคเลือด เพื่อให้ปอดฟอกเลือดได้ดี

6.งดการออกกำลังกายที่ทำให้เสียเหงื่อมาก เนื่องจากจะทำให้อ่อนเพลียจากการขาดน้ำ

7.ทานยาธาตุเหล็กวันละเม็ดจนหมด หลังการบริจาคเพื่อบำรุงเลือดส่วนที่เสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำตาม แต่คนส่วนมากมักจะละเลย

การบริจาคเลือดเป็นการทำสิ่งที่ดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ เนื่องจากที่กล่าวไว้ว่าที่มาของเลือดไม่มีที่ใดนอกจากตัวผู้บริจาคเองที่ต้องการให้เลือดของตัวเองไปต่อชีวิตของผู้ป่วยอีกมากมายได้ อย่างไรก็ตามการดูแลตัวเองให้มีสุขภาพดีก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพื่อให้ตัวผู้บริจาคเองสามารถบริจาคเลือดเพื่อสิ่งดีๆ ต่อไปได้ในภายภาคหน้า

ภาพประกอบจาก sanook.com

อ้างอิงข่าว : https://www.thairath.co.th/content/724625?cx_testId=0&cx_testVariant=cx_0&cx_artPos=4&cx_rec_section=lifestyle&cx_rec_topic=life#cxrecs_s

หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ

ในสังคมปัจจุบันที่มีอัตราการเกิดที่ลดลง รวมไปถึงการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นส่งผลให้ผู้คนมีอายุยืนมากขึ้น เป็นเหตุให้เรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ถ้าเช่นนั้นแล้วสังคมเรามีการปรับตัวเตรียมรับมืออย่างไรบ้างต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งตามสถิติของประชากรเรากำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2564 นี้

สำนักคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมในรูปแบบ สังคมผู้สูงอายุ ที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยเป็นหลักสูตรที่มีระยะเวลาการอบรม 420 ชั่วโมง และสามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพดูแลผู้สูงวัยในสถานพยาบาลได้

นอกจากนี้หากคนนอกมีความสนใจที่จะเข้าอบรมหลักสูตร ก็ได้มีการจัดหลักสูตรระยะสั้นทั้งสำหรับกลุ่มผู้ที่มีอาชีพอยู่แล้ว หรือไม่มีแต่ต้องการพัฒนาความสามารถ โดยแบ่งออกเป็น 5 ส่วนดังนี้

1. สมรรถนะพื้นฐานในการบริบาลผู้สูงอายุ

2. สมรรถนะการบริบาลผู้สูงอายุ

3. สมรรถนะการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ

4. สมรรถนะการสื่อสารทางสุขภาพและจริยธรรมในการดูแล

5. การฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานพยาบาลหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเพื่อเตรียมความพร้อมในการประกอบอาชีพ

โดยหากมีความสนใจสามารถติดต่อเพื่อสมัครหรือขอรายละเอียดได้ที่ โทร. 081-913-5118 หรือ โทร. 02-395-3935 ต่อ 330 หรือที่วิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ

อ้างอิงข่าว : https://www.thaihealth.or.th/Content/53219-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8%20%20%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2.html

การรับมือเชื้อราในหน้าฝน

ภาพจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

น้ำท่วมขังหรือความชื้นในอากาศ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำเมื่อฝนตก ด้วยสภาวะดังกล่าวคือสภาวะที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเติบโตของเชื้อราที่มีอยู่ทั่วไปในอากาศ โดยเฉพาะในช่วงของหน้าฝนที่มีฝนตกแทบทุกวัน

ตัวอย่างลักษณะเชื้อรา ภาพจาก sanook.com

เชื้อราบางชนิดสามารถปล่อยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ในอากาศ แม้ว่าตัวเชื้อราจะตายแล้วก็ตาม ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบหายใจและผิวหนัง และจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ที่มีอาการแพ้สปอร์ของเชื้อรา เราจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงวิธีในการสังเกตุและวิธีในการกำจัดเชื้อราที่มากับหน้าฝน

การสังเกตุการเกิดเชื้อราทำได้ 2 วิธี วิธีแรกคือการสังเกตุรอยเปื้อนที่มีลักษณะเหมือนเชื้อรา โดยเฉพาะบนพื้นผิวที่สามารถดูดซับน้ำหรือมีรูพรุน ต่อมาคือวิธีการดมกลิ่น ซึ่งเชื้อราจะมีกลิ่นเฉพาะตัวที่เหมือนกับกลิ่นดินหรือกลิ่นอับ

เมื่อพบคราบเชื้อราสิ่งแรกที่ควรทำคือการเปิดประตูหรือหน้าต่างเพื่อระบายอากาศออก จากนั้นให้กำจัดเชื้อราทำได้โดยการต้มด้วยน้ำร้อน หรือการขจัดคราบสิ่งสกปรกด้วยสบู่หรือผงซักฟอกก่อน แล้วจึงขัดล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาด เช่นสารฟอกขาวผสมกับน้ำ หากเป็นพื้นผิวแข็งหยาบสามารถใช้แปรงขัดทำความสะอาดได้ โดยควรที่จะมีอุปกรณ์ PPE เพื่อป้องกันร่างกาย ได้แก่ ถุงมือยาง รองเท้าบู๊ทยาง แว่นป้องกันตา และหน้ากากอนามัย เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้อฝกันปัญหาสุขภาพที่เกิดจากเชื้อราที่มากับหน้าฝนได้

อ้างอิงข่าว : https://www.thaihealth.or.th/Content/53239-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1.html